เบื้องหลังการเดินทางที่ไม่ได้สวยงามทุกครั้ง “มิ้นท์ I Roam Alone” เล่าอุทาหรณ์โดนไกด์ทิ้ง-ลวนลาม ขณะไปถ่ายคลิปที่เนปาล บอกนี่ไม่ใช่ครั้งแรก
วันที่ 1 ธันวาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวเน็ตจำนวนมาก เข้าไปให้กำลังใจ “มิ้นท์” มณฑล กสานติกุล เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ “I Roam Alone” หลังมิ้นท์ ได้แชร์ประสบการณ์เบื้องหลังการเดินทางที่ไม่ได้สวยงามที่เนปาล เมื่อมิ้นท์ และเพื่อนร่วมทริป ถูกไกด์ทิ้ง และพยายามลวนลาม
โดยมิ้นท์ เขียนเล่าเรื่องราวทั้งหมดว่า “เมื่อโดนไกด์เนปาลทิ้ง และโดนลวนลาม นักเดินทางผู้หญิงอยากให้อ่านนะคะ
ความตั้งใจในการเล่าเบื้องหลังการเดินทางครั้งนี้ เพราะการเดินทางก็เหมือนการใช้ชีวิตทุกๆวัน ที่มีทั้งเรื่องดีๆ แล้วก็มีเรื่องไม่ค่อยดีด้วย บางวันเราเจอคนน่ารัก ได้ยิ้มทั้งวัน แต่ในวันเดียวกันก็อาจจะโดนหลอก เดินหลงทาง เจอคนแย่ๆจนต้องร้องไห้ เพราะการเดินทางก็ไม่ได้สวยหรูสำเร็จทุกครั้ง เหมือนชีวิตที่ไม่ได้สวยงามทุกๆวัน เลยอยากมาแบ่งปันทุกๆด้านนะ
การไปถ่ายล่าผึ้งเนปาลครั้งนี้ไม่มีอะไรได้ตามแผนสักอย่าง การสื่อสารกับไกด์หลักพังพินาศ จนต้องยืนโบกรถไปเรื่อยๆเกือบไม่ได้กลับที่พัก แล้วมารู้ทีหลังด้วยว่านักล่าผึ้งไม่ได้เงินจากไกด์เราสักบาท ส่วนไกด์ท้องถิ่นที่ไกด์หลักเอาพวกเรามาทิ้งไว้ก็คอยจ้องจะโดนตัวแบบไม่เหมาะสม จนมิ้นท์กับเพชรต้องคอยดุสลับเดินหนีตลอด สุดท้ายพวกเราตัดสินใจยอมเรียกเฮลิคอปเตอร์พากลับกาฐมาณฑุเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย คลิปนี้มาวันพรุ่งนี้ 6 โมงเย็นนะคะ
สำหรับนักเดินทางผู้หญิง การถูกลวนลามเป็นเรื่องที่น่ากลัว และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นที่เนปาล แต่เป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยครั้งแรกทำให้รู้สึกแย่มาก โทษตัวเอง จนทำให้กลัวการเดินทางไปพักนึงเลย ตอนนั้นคนที่ทำเป็นไกด์ชาวเชอร์ปาอีกเหมือนกันจนอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แล้วเคยมีใครโดนแบบนี้อีกบ้างไหม
ครั้งแรกเดินทางไปเนปาลเมื่อปี 2015 ตอนนั้นตั้งใจไปเดินขึ้นยอด Lobuche ยอด 6,000 เมตรและเดินต่อไปที่ Everest Basecamp การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ไปคนเดียวแต่ไปกับกลุ่มสิงคโปร์ ซึ่งหัวหน้าทีมเป็นคนที่เรารู้จักและไว้ใจมาก เขาปีนเขาที่เนปาลมาหลายสิบปีและกำลังพยายามขึ้นยอด 8,000 ทั้ง 14 ยอดให้สำเร็จ
การเดินทางเริ่มต้นดีมาก เจ้าของบริษัทปีนเขาที่เนปาลที่หัวหน้าทีมใช้มาหลายปีให้พวกเรานั่งเฮลิคอปเตอร์เข้าเมือง Lukla แทนนั่งเครื่องบินซึ่งน่าตื่นเต้นมากๆ
หลังจากอยู่ที่เมืองลุกลาเพื่อปรับร่างกายแป๊บนึง พวกเราก็เริ่มต้นเดินเพื่อไปที่ Everest Basecamp แต่ใครจะไปรู้ หลังเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เนปาลก็เกิดขึ้น ทุกอย่างชุลมุนไปหมด อินเทอร์เน็ตถูกตัด โทรศัพท์ที่ใช้ได้มีแค่โทรศัพท์ดาวเทียมของหัวหน้าทีม ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าทำไม แต่หัวหน้าทีมตัดสินใจเดินหน้าไปต่อไปที่ EBC เพื่อดูว่าจะยังพอปีนยอด 8,000 ได้ไหมแทนที่จะเดินกลับ ทุกคนก็รีบเดินไปกับเขา จนเราที่ร่างกายอาจจะยังไม่พร้อมได้รับบาดเจ็บหมอนรองกระดูกปลิ้นทับเส้นประสาท จนขาชาไป 1 ข้าง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังฝืนเดินต่ออีกหลายวัน เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่น
เสียงเฮลิคอปเตอร์บินผ่านไปผ่านมาตลอดเวลาเพื่อขนย้ายผู้บาดเจ็บ ที่ Everest Basecamp หัวหน้าทีมก็พยายามเรียกเฮลิคอปเตอร์กลับเมือง Lukla เหมือนกันแต่ว่าก็ไม่ได้ เพราะแม้เฮลิคอปเตอร์ที่ว่ามีเยอะที่เนปาลแต่ก็ไม่ได้เยอะพอสำหรับวิกฤตที่ใหญ่ขนาดนี้ พวกเราเลยจำเป็นต้องเดินกันกลับลงมา
วันนึงที่ที่พักที่อยู่ระหว่างทางเดินลงกลับไปที่เมือง Lukla หัวหน้าทีมก็บอกว่า ไกด์เจ้าของบริษัทหาเฮลิคอปเตอร์ได้แล้วจะส่งเฮลิคอปเตอร์มารับ แต่เฮลิคอปเตอร์มีที่ว่างแค่ที่เดียว เขาบอกว่าให้เธอไปกับเขาเพราะเธอบาดเจ็บ ส่วนพวกฉันจะเดินลงไปเจอกับเธอที่เมือง Lukla จะได้กลับกาฐมาณฑุด้วยกัน ตอนนั้นตัวเองดีใจและโล่งใจมากๆ เพราะปวดหลังจนทนแทบไม่ไหว ขาก็ไม่มีแรงแล้ว ใครจะไปรู้ว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย ย้อนกลับไปหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น เหมือนกับเขาพยายามแยกเราออกจากกลุ่มมากกว่า…
ทันทีที่เฮลิคอปเตอร์จอด ไกด์คนนี้ก็พาเราเข้าที่พักตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ เขาจะคอยมาอยู่ใกล้ๆ คอยพยายามโดนตัวเราตลอด เวลาที่นั่งลงเขาจะเดินมานั่งใกล้ๆ มาขอนวดให้ จับบ่าจับขาจนเราต้องปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่ที่น่ากลัวที่สุด คือ เขาพูดว่า “สองสามคืนนี้ขอไปนอนที่ห้องได้ไหม ที่พักมันเต็มหมดเลย ขอไปนอนด้วยนะ” พอเราปฏิเสธเขาก็พูดหัวเราะๆบอกว่า “เดี๋ยวเข้าไปเองได้”
หลังจากวันแรกที่ไปถึง ทุกคืนก็จะต้องเอาเก้าอี้มาวางดันประตู แล้วเอากุญแจเสียบเข้าไปในล็อ เพราะเคยอ่านเจอว่าจะทำให้อีกคนที่มีกุญแจไขเข้ามาไม่ได้ ส่วนตอนกลางวันก็จะนั่งอยู่นอกที่พักเพื่อหลบเขา จะปวดขาปวดหลังก็ต้องอยู่ข้างนอกเพราะเจอทุกครั้งก็จะโดนจับตัวเสมอ
ช่วงเวลาหลายวันนั้นเครียดมาก เพราะรู้สึกว่าไม่มีทางสู้อะไรได้เลย ขาก็บาดเจ็บ เหตุการณ์หลังแผ่นดินไหวก็ดูจะแย่ลงเรื่อยๆ ทุกๆวันรอแต่ว่าทีมจะมาถึงเมืองเมื่อไหร่ แต่ทีมก็ไม่สักทีจนสุดท้ายไกด์คนนี้เดินมาบอกว่า “มีเฮลิคอปเตอร์แล้ว เดี๋ยวเราลงไปพร้อมทีมจีน”
ความรู้สึกตอนนั้นคำว่าโล่งใจยังน้อยไป มันเหมือนยกภูเขาออกจากตัวไปเลย เพราะคิดว่าอย่างน้อยถึงกาฐมาณฑุเราก็จะปลอดภัย
ตลอดเวลาเกือบ 1 ชั่วโมงบนเฮลิคอปเตอร์ ไกด์คนนี้มานั่งตัวติดอยู่กับเราและพยายามโอบไหล่ไปตลอดทาง เขามากระซิบใกล้ๆว่า “ฉันมีลูกมีเมียแล้วนะ ที่กาฐมาณฑุคงจะอยู่กับเธอมากไม่ได้ เอางี้ไหมเดี๋ยวไว้เราไปดูไบกัน เดี๋ยวฉันพาเธอไปเที่ยวไปโดดร่มกัน” ในใจตอนนั้นนึกอย่างเดียวว่าขอให้ถึงไวๆ เพราะมันน่าอึดอัดและน่าขยะแขยงมาก
ที่กาฐมาณฑุเขาเป็นคนจัดการที่พักซึ่งอยู่นอกเมืองไปหน่อย เพื่อรอทีมที่กำลังจะตามมาอีกวันหรือสองวัน ตอนเขายื่นกุญแจให้ เขาก็ทำเหมือนเดิม คือ
“เธอนอนห้องอะไรนะ”
“ไม่บอก”
“ไม่เป็นไรเพราะฉันรู้เบอร์ห้องเธอ”
ทุกคืนที่นั่นก็เลยเป็นเหมือนเดิม คือ ต้องหาอะไรมาขวางประตูไว้ แต่ยังดีที่ไม่ต้องเจอกับเขาบ่อยๆ
ถามว่าทำไมไม่ไปหาที่พักเอง ถ้าใครอ่านข่าวแผ่นดินไหวที่เนปาลตอนนั้นจะรู้เลยว่าเมืองทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง พื้นถนนพัง เสาไฟฟ้าล้มระเนระนาด และแผ่นดินไหวย่อยๆเกิดขึ้นตลอด โรงแรมที่ปลอดภัยมีไม่มากและสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรายิ่งไม่มีทางรู้ได้เลยว่าที่ไหนจะปลอดภัย ที่ทำได้ตอนนั้น คือ รอไฟล์ทกลับกรุงเทพฯ
ที่แย่กว่านั้น คือ ทันทีที่ทีมมาถึงแล้วเราแจ้งหัวหน้าทีม เขากลับหัวเราะแล้วบอกว่า ‘ดีแล้วนะ ได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ฟรีดีจะตาย’ พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ตัวเองก็ยิ่งสับสนว่านี่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ที่นี่รึเปล่า
3-4 วันที่อยู่ที่เนปาลทุกครั้งที่ทีมต้องเจอกับไกด์คนนี้ เราก็ต้องคอยเดินหลบ เพราะเขาจะทำเหมือนเดิมอยู่ตลอด แค่สบตาเรายังไม่กล้า
จนเมื่อเดือนก่อนอ่านเจอข่าวนึงเกี่ยวกับ Everest พอเห็นรูปเขากับลูกชายที่ลงข่าวดังในวงการปีนเขา ตัวเองก็ยังรู้สึกชาไปหมด เขาคือเหตุผลที่ทำให้ไม่กล้ากลับไปที่เนปาลมาหลายปี
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการมาเนปาลครั้งนี้ถึงตัดสินใจใช้ไกด์ที่เพื่อนไว้ใจ และไม่กล้าใช้ไกด์คนไหนก็ได้ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ต้องเจอปัญหา ยังโชคดีที่สถานการณ์เปลี่ยนทำให้พวกเราไม่ต้องอดทนและกล้าจะสู้กลับ
ถ้าถามว่าทำไมไม่แจ้งความ ทำไมไม่เล่าเรื่องเหล่านี้ก่อนหน้านี้ จริงๆเคยพูดเรื่องนี้บ้างแต่ก็เล่าแค่นิดหน่อยเพราะกลัว กลัวคำพูดที่ว่า “แล้วไปทำไม?” “อยากเดินทางคนเดียวก็แบบนี้…” กลัวโดนบอกว่าที่เจอแบบนี้เป็นเพราะเราหาเรื่องเอง…
แต่ที่ตัดสินใจเล่าเพราะนี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่เกิดขึ้นที่เนปาล และทั้ง 2 ครั้งก็ไม่ได้เดินทางคนเดียวด้วย ที่อยากแบ่งปันเรื่องนี้เพราะอาจจะมีหลายคนที่เคยเจอเรื่องเหล่านี้เหมือนกัน หรือถ้าต่อไปต้องเจอกับคนเหล่านี้ อยากบอกว่าไม่ต้องมัวโทษตัวเอง เพราะการล่วงละเมิดทางเพศไม่ใช่พฤติกรรมที่ยอมรับได้ไม่ว่าจะกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ เราจะอยู่บ้าน จะเดินทางคนเดียว หรือจะเดินทางเป็นกลุ่ม ไม่ว่าจะที่ไหนอย่างไรการล่วงละเมิดทางเพศก็ไม่ควรเกิดขึ้นทั้งนั้น
และนี่ล่ะค่ะ คือ เบื้องหลังการเดินทางที่ไม่ได้สวยงามทุกครั้ง”
ซึ่งหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไป ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ขอบคุณที่มิ้นท์ออกมาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง และว่าการล่วงละเมิดมันไม่ควรเกิดกับใครในทุกๆสถานการณ์ อาทิ ทำไมผู้ถูกกระทำถึงต้องได้รับคำพูดด้วยว่า เราไปอยู่ตรงนั้นเอง ช่วยไม่ได้ มันไม่ควรเป็นสถานการณ์ปกติ เราเคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆ สิ่งที่ได้รับกลับมาจากที่เราเล่าให้ฟังต่อเพราะอยากทำไรสักอย่างที่เกิดขึ้น คือการหัวเราะแล้วบอกเป็นปกตินะของผู้ชายทำให้เราไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเลย แล้วจิตใจเราล่ะกับเหตุการณ์ ไม่เป็นไรนะคะ ขอบคุณที่เล่าให้ฟังค่ะ ขอบคุณที่เดินทางนำหลายเรื่องที่เจอมาแลกเปลี่ยน ดูแลสุขภาพนะคะ, ขอโทษแทนชาวเนปาลด้วยครับพี่มิ้น ที่ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีตอนมาเที่ยวเนปาล และขอประณามการกระทำแย่ๆของไกด์คนนั้น และถ้าเป็นได้อยากให้แจ้งความ เพราะการล่วงละเมิดทางเพศเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดไม่ว่าเที่ยวที่ไหน, ใช่ค่ะ ไม่ว่าจะเดินทางคนเดียว หรือเป็นกลุ่ม เรื่องพวกนี้ก็ไม่ควรเกิดกับใครทั้งนั้นค่ะ สู้ๆค่ะ ขอให้คุณมิ้นท์ปลอดภัยทุกการเดินทาง ฯลฯ
ที่มาจาก เฟซบุ๊ก I Roam Alone