แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว! “เบสท์-รักษ์วนีย์” นางเอกสาวที่มาพร้อมกับดวง

แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว สำหรับยูทูบเบอร์สาวมากความสามารถ เบสท์-รักษ์วนีย์ คำสิงห์ ลูกสาวของนักชกชื่อดัง สมรักษ์ คำสิงห์ กับการนั่งแท่นเป็นนางเอกครั้งแรกในละคร “กู้ภัยหัวใจสู้” ทางช่องวัน 31 ประกบคู่หวานใจ หนุ่ม ตงตง-กฤษกร กนกธร ที่กวาดเรตติ้งสุดปังคอลัมน์ “ดาวต่างมุม” ไม่พลาดคว้าตัวสาวเบสท์มานั่งพูดคุยแบบทุกซอก ทุกมุม ให้แฟน ๆ ได้รู้จักตัวตนของเธอมากขึ้น

“ดีใจมาก ๆ ค่ะ เพราะคนเริ่มรู้จักเรื่อง “กู้ภัยหัวใจสู้” ก่อนที่ละครจะถ่ายทำเสร็จด้วยซ้ำ มีแฮชแท็ก #กู้ภัยหัวใจสู้ มาตั้งนานแล้ว เราก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนจะรู้จักละครตั้งแต่ยังไม่ออนแอร์ และรอดูกันแล้ว พอละครออนแอร์ก็คิดว่า เรตติ้งจะดีไหม แต่พอเรตติ้งมาอันดับหนึ่งอีก เราก็รู้สึกว่าอย่างน้อย ถ้าเล่นเรื่องอื่น ๆ ก็น่าจะมีกลุ่มคนที่รอดูเราอยู่นะ ใจเริ่มมาแล้ว มีกำลังใจที่จะทำผลงานอื่น ๆ ต่อไป และอยากตั้งใจทำงานมากขึ้น”

จากยูทูบเบอร์สู่บทบาทของนางเอกละคร?

“ตอนแรกก็งง ๆ ค่ะ เล่นไม่ได้เลย ไม่เป็นเลย อีพีแรก ๆ ที่ทุกคนเห็นกว่าจะได้แต่ละฉาก หนูเครียดมาก โดนด่าแล้ว โดนด่าอีก แล้วในกองมีกฎเหล็กว่าห้ามเกิน 3 เทค บทเลยต้องเป๊ะ ต้องตอบคำถามผู้กำกับได้ แต่พอสักพักหนึ่งก็เริ่มเข้าที่”

ร่วมงานกับตงตง เจอกันครั้งแรกถูกชะตาเลยไหม?

“ถูกชะตานะคะ ทักทายกันปกติ เขาเป็นรุ่นพี่เบสท์ 5 ปี แต่ด้วยความที่เราเป็นคนเมาท์มอย คุยไปเรื่อย ไม่ได้คิดอะไร แล้วพี่เขาเป็นสายรับฟัง ออกความคิดเห็น เลยสนิทกันเร็ว ตอนนั้นเหมือนเป็นพระเอกนางเอกที่เป็นพี่น้องกันจริง ๆ เราไม่ได้คิดว่าจะเป็นแฟนกันด้วย เพราะคุยกันทุกเรื่อง เขาคุยกับผู้หญิงคนไหนก็บอก เราคุยกับใครก็เล่าหมด ไม่คิดว่าจะได้มาคบกัน พอมาเป็นแฟนกันจริง ๆ ต้องมานั่งระแวงกันเอง (หัวเราะ) เพราะรู้เรื่องเยอะเกินไป”

แล้วสปาร์คกันตอนไหน?

“ของพี่ตงเบสท์ไม่รู้ แต่ของเบสท์คงเป็นตอนที่เขาไดเรกต์ไอจีมา เริ่มไลน์มาบ่อย ๆ เราเริ่มรู้สึกแล้วว่าเขาไม่ปกติ พอเขาไลน์มาถามไถ่ ให้กำลังใจ ก็ทำให้เรารู้สึกดี รู้สึกเอ๊ะ…ว่านี่ เฟรนด์ลี่ หรืออะไรเนี่ย (ยิ้ม)”

กว่าจะคบกันถึงวันนี้ฝ่ากระแสดราม่ามาเยอะเหมือนกัน?

“เราก็ไม่คิดว่าคนจะให้ความสนใจเราขนาดนี้ เพราะถ้าพูดกันตามตรง เบสท์กับพี่ตงตอนนั้นไม่ได้ดังมาก อาจจะมีคนรู้จักในระดับหนึ่ง แต่พอคบกันแล้ว ก็เริ่มมีชื่อเสียงพร้อม ๆ กัน คนให้ความสนใจเราทั้งคู่ จะมีทั้งกระแสที่ชอบให้เราคบกัน ไม่ชอบที่เราคบกัน หนูก็รับมือไม่ทัน เพราะตอนที่เขาบอกว่าเขาชอบหนู เขาพูดว่า “ศึกษาดูใจ” ความหมายตรงตัวว่า “คุยไลน์ ยังไม่ได้ขอเป็นแฟน” แต่คนทั่วไปที่ฟังก็จะคิดว่าดารามักใช้คำนี้ตอนที่เป็นแฟนกันแล้ว เราก็รู้สึกว่าทำไมรีบไปพูดจังเลย ทำไมไม่รอให้เป็นแฟนกันก่อน เหมือนเขาคิดแล้วก็ทำเลย แล้วค่อยมาถามเราทีหลังว่าเราโอเคไหม ซึ่งต่อให้เราตอบว่าไม่โอเคก็ไม่ทันแล้ว ถ้าพี่ไปแบบนั้นหนูก็ต้องไปตามแหละ ถ้าไปอีกทางหนึ่งคงโดนด่า ทำให้หนูได้เรียนรู้เหมือนกันว่า มีแฟนเป็นดาราเป็นแบบนี้นี่เอง มันยุ่งยากเหมือนกันนะ แต่ถ้าพี่คลั่งรัก หนูก็ต้องคลั่งตาม”

เรามีวิธีจัดการกับคอมเมนต์ในแง่ลบช่วงนั้นยังไง?

“ตอนแรกก็เครียดมาก ร้องไห้ไม่อยากมีแฟนเป็นดาราแล้ว จะเลิกกับพี่เขา แต่สุดท้ายก็มาคิดว่าพี่เขาไม่ได้ผิดอะไรเลย พวกที่ผิดคือนักเลงคีย์บอร์ด พวกที่คอมเมนต์ ไม่ชอบ แต่สุดท้ายแล้วก็ปล่อยผ่าน เพราะทำอะไรไม่ได้”

เป็นคู่รักที่หวานตลอด?

“พี่ตงหวานกว่าเบสท์อีกนะ เขาจะเป็นผู้ชายโรแมนติก ชอบให้อ้อน ชอบให้แสดงความรัก แต่หนูก็หวานนะ คุยเสียงสองอยู่นะ แต่เวลาทำงานก็คือทำงาน ซึ่งพี่ตงเวลาเขาทำงานก็จะมีแวบมาบ้างว่าอยากได้ความรัก อยากให้แสดงความรัก”

ฉายาเบสท์สายเปย์?

“เปย์จริงนะคะ (หัวเราะ) สมมุติว่าถ้าเขาพูดกับหนูว่าพี่อยากได้อันนี้ แล้วถ้าหนูบอกว่าแพงไปหรือเปล่า จะซื้อทำไม ซึ่งถ้าพูดไปแล้วทำให้เขารู้สึกไม่ดี ก็ซื้อไปเถอะ อย่าให้เงินมาเป็นปัจจัยให้เขารู้สึกไม่ดีเลย ถ้าเขาอยากได้อะไรเราก็จะซื้อให้เลย จะได้ไม่มารู้สึกไม่ดีต่อกัน”

แล้วตงตงเปย์กลับไหม?

“น้อยกว่าเบสท์นะ เบสท์กล้าพูด (หัวเราะ) คือตอนคบกันแรก ๆ พี่เขาก็เปย์นะ เวลาไปเดินห้าง เขาจะออกตังค์ให้แต่เราไม่เอานะ อย่างเราไปเดินห้าง เห็นเสื้อผ้าตัวนี้สวย จะให้พี่เขาจ่ายให้ก็เกรงใจ แต่หลังจากนั้นพี่เขาก็ไม่เคยยื่นให้หนูอีกเลย วันนั้นเราไม่น่าเกรงใจเลย”

เคยคิดไหมว่าวันหนึ่งจะหมดโปร ไม่หวานเท่านี้แล้ว?

“ตอนนี้คบกันมาปีกว่า ๆ ก็ไม่หวานเท่าเดิมนะคะ (ยิ้ม) แต่หนูเข้าใจตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว ถ้าใครที่ติดตามจะรู้ว่าหนูเคยพูดไว้เลยว่า 3-6 เดือนแรก คือช่วงโปรฯ พอคบไป 1-3 ปี ก็จะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง แล้วก็เป็นแบบที่เราพูดจริง ๆ เหมือนที่เราเตรียมใจไว้แล้ว เราเคยคบคนนานกว่านี้ แต่พี่ตงก็จะเถียงอยู่นั่นแหละว่า ไม่หรอก ไม่หรอก พี่ไม่มีทางเป็นแบบนั้น แต่สรุปว่าหมดโปรฯ ค่ะ ได้เท่านั้นแหละค่ะ (หัวเราะ) แต่ทุกวันนี้ก็โอเค ก็ดี เป็นกราฟแบบดีเรื่อย ๆ”

แพลนอนาคตกันไว้บ้างหรือเปล่า?

“ไม่เลยค่ะ หนูแทบจะไม่ได้มองว่าเราจะต้องแต่งงาน มีลูกกัน เพราะอยากให้มันเป็นไปวันต่อวัน เราไม่อยากไปคาดหวัง เพราะเดี๋ยวจะผิดหวัง เรายังเด็กอยู่ด้วย แล้วพี่เขาก็กำลังไปได้ดี เป็นพระเอกดัง หนุ่มฮอต กำลังงานเข้า ก็ให้พี่เขาทำงานไปก่อนเลย”

ตงตงเข้ากับครอบครัวเบสท์ได้ดีมาก ๆ?

“พี่ตงนิสัยเขาจะเป็นคนเข้ากับผู้ใหญ่ง่ายอยู่แล้วด้วย ไม่ว่าจะในกองถ่าย หรือกับคนอื่น ๆ เขาเฟรนด์ลี่กับทุกคน แต่จริง ๆ คุณพ่อคุณแม่เบสท์ไม่ได้ให้ผ่านหรือไม่ให้ผ่าน เพราะสุดท้ายก็ขึ้นอยู่ที่เบสท์อยู่ดี เพราะต่อให้สุดท้ายพ่อให้ผ่าน แต่หนูคบไม่มีความสุข ไม่โอเค หนูก็ต้องเริ่มใหม่ พ่อกับแม่ก็ต้องเปิดใจรับคนใหม่ตามเราอยู่ดี”

กดดันไหมกับการเป็นลูกสมรักษ์ คำสิงห์

“ตอนเด็ก ๆ ก็จะโดนที่โรงเรียนมองว่า ลูกสมรักษ์ คำสิงห์ คือเราโดนจับตาตั้งแต่เด็ก มาถึงวันนี้ก็รู้สึกว่าเราเคยเจอแล้ว เลยไม่กดดัน เริ่มปลง พอคนเรามีชื่อเสียง เป็นที่จดจำก็จะโดนจับผิด และคาดหวังในตัวเรา เราเลยต้องทำตัวเองให้ดีตลอด ไม่อยากหาเรื่องมาใส่ตัวเอง ไม่สร้างดราม่า หรืออะไรให้เกิดประเด็น ก็จะอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ”

คุณพ่อสมรักษ์สัมภาษณ์ว่าทุกวันนี้เบสท์เป็นเสาหลักของครอบครัว?

“ใช่ค่ะ แบบไม่ได้ตั้งใจและไม่ทันรู้ตัวด้วยค่ะ อยู่ ๆ ก็เป็นเลย เร็วเหมือนกันสำหรับเด็กอายุ 21 ปี บางทีเราก็คิดกับตัวเองว่าทำไมเร็วจัง เมื่อปีก่อนยังขอตังค์พ่อซื้อของอยู่เลย แต่ตอนนี้ขอไม่ได้แล้ว เพราะพ่อก็ไม่มี (ยิ้ม) เลยต้องใช้ตังค์ตัวเอง เบสท์รู้สึกว่าตัวเองมากับดวง คนอื่นจะมองยังไงไม่รู้ แต่หนูคิดว่าเราดวงดี อยู่ ๆ ทำช่องยูทูบแล้วก็มีคนดู อยู่ ๆ ก็มีตังค์ มีลูกค้าเข้า ทุกวันนี้หนูยังขอบคุณตัวเอง ขอบคุณโชคชะตา ที่ทำให้เรามาไกลขนาดนี้ เพราะจริง ๆ เราก็ไม่ได้มีความสามารถที่ว้าวขนาดนั้น”

ช่วงที่ครอบครัวเกิดวิกฤติผ่านมาได้ยังไง?

“ตอนนั้นเบสท์เริ่มมีรายได้จากยูทูบค่ะ แต่ยังไม่ได้มีเยอะเท่าทุกวันนี้ เราเหมือนวัดดวง มีเงินแสนนึงก็ไปเช่าบ้านแปดหมื่นก็ต้องทำ เหมือนวัดดวงกับตัวเองไปเลยว่าเราต้องไปต่อ แล้วจะได้เริ่มต้นใหม่ แล้วพอเราไม่มีเงินแล้วสักบาท อยู่ ๆ ก็มีงานเข้าก็เลยทำให้เรามีทุกวันนี้”

กับวงการบันเทิงวางแผนยังไงบ้างกับตัวเบสท์เอง?

“เบสท์ไม่ได้วางแผนหรือคาดหวังอะไรเยอะเลย เบสท์แค่รู้สึกว่าทุกวันนี้โอเค ถ่ายยูทูบและมีละครแค่นั้นพอ ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องเป็นที่หนึ่ง เป็นซูเปอร์สตาร์ เรารู้สึกว่าไม่อยากแข่งขัน หรืออิจฉาใครแล้ว เท่าที่เป็นอยู่เราโอเคแล้ว คือ ก็มีคนพูดนะ ว่าเราต้องไปไกลกว่านี้สิ เราจะอยู่แค่นี้ไม่ได้ แต่เบสท์กลับคิดว่าเราจะไปแข่งขันทำไมให้เหนื่อย ให้ไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นเราก็ทำแค่ตรงนี้ ไม่ต้องไปคิดว่าจะต้องอยากขึ้นไป อยากจะเป็นนางเอกอีก ตรงนี้แล้วแต่ผู้ใหญ่ แล้วแต่โอกาสเลย ถ้ามีละครให้เล่นเราก็เล่น”

คุณพ่อคุณแม่ให้วิธีการทำงานหรือแนวคิดอะไรบ้างไหม?

“ไม่หรอกค่ะ คุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เรื่องการบ้านหนูเขาก็ไม่ได้สอนนะคะ เขาให้หนูใช้ชีวิตเอง เรียนรู้เอง เล่นละครไม่ได้ก็ไม่เคยถามพ่อนะคะ ว่าต้องทำยังไงถึงจะเล่นได้ ก็ไม่ค่ะ”

คิดว่าวันนี้ตัวเองมาไกลเกินฝันไหม?

“ไกลแล้วค่ะ การที่เราเดินตลาดแล้วมีคนชี้ว่าเนี่ย เบสท์ ๆ เราไม่ต้องไปหวังอะไรมากกว่านี้แล้ว เราคิดว่ามันที่สุดแล้ว เราไม่ได้กดดันตัวเองให้ไม่มีความสุข ใช้ชีวิตแบบที่เป็นอยู่เรื่อย ๆ ดีกว่า เราก็โอเคแล้ว”

สุดท้ายอยากฝากอะไรกับคนที่ติดตามเรา 5 ล้านในยูทูบ 1 ล้านในไอจี รวมถึงแฟนละครด้วย?

“หนูอยากบอกว่าทุกคนมีค่าหมดเลย เราเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เราจะไม่มีตังค์จ่ายค่าบ้าน ค่ารถเลย ถ้าไม่มีพวกเขา ก็ขอขอบคุณมากสำหรับการกดติดตาม ทุกยอดวิว ยอดกดไลค์ อยากให้อยู่กันไปแบบนี้นาน ๆ หนูก็จะเป็นเบสท์แบบนี้แหละ ไม่ไปไหนหรอก จะมีผลงานให้ติดตามไปเรื่อย ๆ ค่ะ”