ไม่ขอทนแล้ว สำหรับนักแสดงสาว แตงโม นิดา หลังถูกสื่อออนไลน์พาดหัวข่าวให้เธอดูด้อยค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยเธอก็ได้ออกมาเตือนเบาๆก่อน แต่หากยังไม่หยุดการกระทำแบบนี้ เรื่องราวถึงโรงถึงศาลแน่นอน
โดยสาวแตงโม ก็ได้โพสต์ภาพหนังสือที่ส่งมาจากทนายส่วนตัวถึงสำนักข่าวดังกล่าวลงในไอจี โดยมีเนื้อหาดังนี้ “ตามที่ท่านได้เสนอข่าวของคุณภัทรธิดา หรือนิดา พัชรวีระพงย์ ลงบนแอปพลิเคชัน Instagram ซึ่งปรากฎรายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ความละเอียดทราบดีแล้วนั้นในการนี้ การเสนอข่าวในแอปพลิเคชันดังกล่าว
โดยการที่ท่านพาดหัวข่าวในทำนองด้อยค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อีกทั้งได้ทำการเบลอภาพของคุณภัทรธิดาฯ ประหนึ่งเป็นผู้กระทำผิด ซึ่งทากเปรียบเทียบกับนักร้องนักแสดงท่านอื่น ๆ เมื่อท่านนำเสนอข่าวในลักษณะเดียวกัน กลับมิได้ทำการเบลอภาพเช่นเดียวกันนี้ แต่อย่างใด
ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์กรและผู้ปฎิบัติงานเกี่ยวกับการเสนอข่าวสาขาบันเทิงของท่าน ก่อให้เกิดความไม่สบายใจแก่คุณ ภัทรธิดาฯ เป็นอย่างมาก เพราะคุณภัทรธิดาฯ กับท่านมีสนิทสนมความรักใคร่กลมเกลียวกันมาก่อน
ดังนั้น ด้วยหนังสือฉบับนี้ ข้าพเจ้าในฐานะทนายความของคุณภัทรธิดาฯ จึงขอให้ท่านนำเสนอข่าว และ หรือพาดหัวข่าว และหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการเผยแพร่สู่สาธารณชนซึ่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับคุณภัทรธิดาฯ ในทำนองสร้างสรรค์ ไม่ละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ทำให้คุณภัทรธิดาฯ ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ตลอดจนไม่ทำการเบลอภาพของคุณภัทรธิดาฯ ในข่าวที่ท่านลงให้เหมือนดั่งเช่นกระทำต่อนักร้อง นักแสดงท่านอื่น ๆ จักเป็นพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ขอแสดงความนับถือ”
ล่าสุดเราได้วีดีโอคอลคุยกับสาวแตงโม ถึงเรื่องนี้ เจ้าตัวก็เผยว่า ตนกับสำนักข่าวดังกล่าวสนิทสนมกันมานานมากแล้ว เหมือนเป็นลูกหลานกับเจ้าของบริษัทเลย ตนเข้าวงการมาก็เจอเขาเลย แล้วก็ขึ้นปกนิตยสารของเขาบ่อยที่สุดแล้ว
ส่วนสาเหตุที่มีจดหมายจากทนายความส่งถึงสำนักข่าวนี้ มาจากการที่สำนักข่าวนี้เอาข่าวตนไปลงในโซเชี่ยล แล้วมีการพาดหัวข่าวที่รุนแรงว่า “นักแสดงสาวตกอับจนต้องขายเสื้อผ้าแลกข้าวกิน” แถมยังมีการคาดตาที่รูปตนด้วย
ตนไม่โอเคมากๆ ที่สำนักข่าวนี้ ทำให้คนเข้าใจผิด แถมทำเหมือนตนเป็นผู้ต้องหา เพราะมีการคาดตาตน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกตนจึงยังไม่ติดใจอะไร เพราะคิดว่าผู้บริหารยังไม่รู้ แล้วคนทำอาจเป็นเด็กรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ทำผลงานแบบตีหัวเข้าบ้าน แต่ตนก็ได้โพสต์เตือนลงไอจี
เพราะตนมองว่าการคาดตาตน มันไม่ยุติธรรมกับการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าคนในครอบครัวและญาติๆมาเห็นข่าวนี้ จะรู้สึกยังไง แต่ถ้าเอาเรื่องตนไปทำข่าวแบบอื่น ตนไม่เคยซีเรียสเลย เพราะตนชินแล้ว
โดยเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นถึง 3 ครั้งแล้ว ตนเลยรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของตนกับผู้บริหารของสำนักข่าวนี้คงจบไม่สวยแล้ว แต่ตนก็ยังให้โอกาสอยู่ เพราะตนแค่ให้ทนายความทำจดหมายแจ้งเตือนไปยังสำนักข่าวดังกล่าว แต่ถ้าในอนาคตยังเกิดขึ้นอีก ตนก็อาจจะต้องดำเนินคดีจริงจัง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีฟีดแบ็คอะไรกลับมาจากสำนักข่าวดังกล่าว
นอกจากนี้ก็ยังได้พูดคุยถึงเรื่องที่เธอไปออกรายการหนึ่งซึ่งต้องร้องเพลงด้วย หลายคนก็ถึงกับอ้าปากค้าง เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่า สาวแตงโม นั้นเสียงดีมาก เจ้าตัวก็เผยว่า บางคนอาจจะไม่ค่อยได้เห็นตนร้องเพลงสักเท่าไหร่ เพราะอาชีพของตนคือนักแสดง แต่จริงๆตนมีร้องเพลงประกอบละครที่ตัวเองเล่นอยู่บ่อยๆ
แตงโม บอกอีกว่า การร้องเพลงก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ตนชอบมากๆ ซึ่งจริงๆชอบมากกว่าการเป็นนักแสดงเสียอีก แต่ตนไม่ได้เรียนจนมีสกิลสูงเลยอาจจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เวลาร้องเพลง แต่หากมีงานติดต่อมาก็ยินดีรับทุกงานเลย เพราะใจรัก
สุดท้ายได้อัปเดตถึงพัฒนาการของน้องอีสเตอร์ ลูกสาวของเธอด้วย เจ้าตัวก็เผยว่า ตอนนี้พูดเยอะมาก แล้วตนก็เริ่มเทรนด์ให้เขาทำงานในวงการบันเทิง ด้วยการจำลองเหตุการณ์ว่าทำงาน 1 งานจะได้ค่าจ้างเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ซึ่งเขาเต็มที่มากๆ โดยตนก็มักจะนำผลงานเขาไปโพสต์ลงไอจี ส่งผลให้มีแมวมองมาทาบทาม ตอนนี้ก็กำลังจะแคสละครเรื่องหนึ่ง
โดยตนก็ไม่ได้หวังว่าการไปแคสละครเรื่องแรกแล้วเขาจะได้เลย เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ซึ่งหากเขาแคสผ่าน ตนก็อยากให้เขาได้เพราะความสามารถของเขา ไม่ใช่เพราะเขาคือลูกแตงโม
ทั้งนี้ช่วงที่ตนเทรนด์ให้เขาเหมือนทำงานในวงการบันเทิงจริงๆ อินเนอร์ของเขาก็เยอะมาก อาจจะเพราะ น้องอีสเตอร์ เป็นเด็กที่โตในกองถ่าย เขาจะเห็นตนเล่นละคร รวมถึงเวลาตนถ่ายแบบเขาก็จะเห็นตนทำงานทุกกระบวนท่า ซึ่งเขาจำมาหมดว่าเวลาเปลี่ยนท่า เวลาใช้สายตา ต้องทำยังไง เรียกว่าลื่นไหลมาก ทำได้ดีมากจริงๆ
อย่างไรก็ตามตนก็ต้องมาคอยระวังว่าเขาจะโตเกินวัยไปไหม หรือรู้เรื่องเกินที่เด็กจะรู้ไหม เพราะเขาอยู่กับผู้ใหญ่เยอะ อาจจะมีพฤติกรรมเลียนแบบได้ง่าย ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีภาวะเหล่านี้แล้วแต่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นยังไม่ถึงขั้นน่าเป็นห่วง